1.ระยะเวลาที่หลักสูตรเปิดรับสมัคร 

เปิดรับสมัครภาคต้น ช่วงเดือน ตุลาคม -  มีนาคม

 

2.วิธีการสมัครเรียนต้องทำอย่างไร 

สมัครผ่านเว็บไซต์เวป www.grad.chula.ac.th 

 

3.คุณสมบัติการเข้าเรียนเป็นอย่างไร 

จบปริญญาตรี (ทุกสาขา)

 

4.การสอบเข้าเป็นแบบไหน 

มีการสอบข้อเขียนและสอบสัมภาษณ์ 

 ภาษาอังกฤษ CU-TEP

 ข้อเขียน วิชาพฤติกรรมศาสตร์ 

 สอบสัมภาษณ์

 

5.ระยะเวลาการเรียน 

ระยะเวลา 2-4 ปี (ไม่เกิน 4 ปี)

 

6.เรียนกี่หน่วยกิต 

เรียนทั้งหมด  26  หน่วยกิต และวิทยานิพนธ์ 12 หน่วยกิต 

รวมตลอดหลักสูตร ไม่น้อยกว่า  38  หน่วยกิต

 

7.มีกิจกรรมนอกหลักสูตรให้ทำระหว่างที่เรียนหรือไม่ 

กิจกรรมนอกหลักสูตรให้ที่ทำระหว่างเรียน เช่น การอบรมทักษะการทำกิจกรรมสำหรับด็ก

เพื่อฝึกทักษะเพื่อใช้สำหรับการทำ ค่าย happy kids ในรายวิชาสุขภาพจิตชุมชน

ซึ่งเป็นกิจกรรมที่นิสิตจะได้เป็นผู้นำทำกลุ่มเกี่ยวกับการให้ความรู้และสันทนา

การร่วมกับเด็กๆในค่ายอย่างสร้างสรรค์ 

 

และการอบรมการรู้จักตนเองโดยอาศัยแนวคิด Enneagram หรือ ค่ายนพลักษณ์

เป็นกิจกรรมค่ายที่ทำให้นิสิตรู้จักลักษณะนิสัยและบุคคลิกภาพของตนเองและผู้อื่น

ว่าเป็นอย่างไร ทำให้เรารู้จักตัวเองและผู้อื่นมากขึ้น 

 

8.บรรยากาศการเรียนเป็นอย่างไร 

บรรยากาศการเรียนเป็นกันเอง ทุกคนเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน 

เป็นการเรียนทฤษฎีร่วมกับปฏิบัติ โดยคณาจารย์ภาควิชาจิตเวชศาสตร์

และวิทยากรจากหน่วยงานต่างๆ มีการดูงานในองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน

การจัดกิจกรรมในชุมชน การสัมมนาเพื่อรู้จักและพัฒนาตนเอง  

 

9.เรียนจบแล้วทำงานอะไร 

เรียนจบแล้วสามารถ ประกอบอาชีพได้หลากหลายตามความถนัด

ในหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน อาทิเช่น

     นักสุขภาพจิตประจำโรงเรียน โรงพยาบาล สำนักงานสาธารณสุขประจำจังหวัด (สสจ.)

         กรมสุขภาพจิต สถานพินิจ มูลนิธิ ศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพจิต โรงพยาบาล 

 สถานบำบัดฟื้นฟู เช่น โรคเอดส์ สารยาเสพติด 

 นักจิตบำบัด ประสานงานร่วมกับจิตแพทย์ (ควรฝึกและเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ

        การทำจิตบำบัดเฉพาะด้านที่นิสิตให้ความสนใจเป็นพิเศษ)

 งานฝ่ายทรัพยากรบุคคล ฝ่ายพัฒนาบุคลากร

 ผู้ให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิตในองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน

        ที่ต้องการนักสุขภาพจิตประจำหน่วยงาน

 นักวิจัย นักวิชาการทางด้านสุขภาพจิต ครูอาจารย์ 

 

9.1 มีแหล่งงานรองรับสำหรับผู้จบจากหลักสูตรฯโดยเฉพาะหรือไม่ ?

ยังไม่มีโดยเฉพาะ อย่างไรก็ตาม แหล่งงานค่อนข้างกว้างและหลากหลาย

ตามการเปิดรับของหน่วยงาน เช่น โรงพยาบาลชุมชน โดยทำงานด้านสุขภาพจิต

ในฝ่ายป้องกันและส่งเสริมสุขภาพ หรือ นักวิชาการ ในสังกัดกรมสุขภาพจิต

 

9.2 พื้นฐานปริญญาตรีเดิม มีส่วนสำคัญต่อการเลือกอาชีพหลังเรียนจบหรือไม่ 

การเลือกอาชีพหลังจบการศึกษา ควรคำนึงถึงวุฒิปริญญาตรีที่จบร่วมด้วย อาทิเช่นนักวิชาการ

 

 ผู้ที่จบตรีในสายวิชาชีพ เช่น แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร พยาบาล นักสังคมสงเคราะห์

        นักกายภาพบำบัด : ทำงานด้านจิตเวชและสุขภาพจิต ต่อยอดจากวิชาชีพพื้นฐานเดิม 

 ผู้ที่จบตรีที่เกี่ยวข้องกับด้านจิตวิทยา : เพิ่มพูนทักษะด้านสุขภาพจิต

        ต่อยอดจากความรู้ด้านจิตวิทยาที่เป็นพื้นฐานเดิม (ทั้งนี้ หลักสูตรไม่ได้ผลิตนักจิตวิทยาคลินิก) 

 ผู้ที่จบตรีในหลักสูตรทั่วไป : ทำงานได้หลากหลาย ดังข้างต้น เช่น

         นักสุขภาพจิตประจำหน่วยงานต่างๆ นักวิชาการด้านสุขภาพจิต นักวิจัย

         (สำหรับหน่วยงานที่ต้องการผู้มีความรู้ด้านสุขภาพจิตประจำหน่วยงานโดยเฉพาะ)

 ผู้ที่จบตรีในหลักสูตรทั่วไปและมีงานประจำอยู่แล้ว : เพิ่มพูนทักษะด้านสุขภาพจิต

         เพื่อนำไปใช้ในองค์กรที่ตนทำงานอยู่

 

10. ประโยชน์ที่ได้จากการศึกษา 

 รู้จัก และ เข้าใจ ตนเอง และ ผู้อื่น

 การมองโลกในแง่ดี รู้คุณค่าของตน นับถือตนเอง

 การปรับตัวให้เข้ากับสังคม มีสัมพันธภาพที่ดีกับผู้อื่น

 มีสุขภาพจิตที่ดี ใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุข

 พัฒนาทักษะการคิด การแก้ปัญหา การทำงานเป็นทีม

 พัฒนาทักษะความรู้ในการให้คำปรึกษาอย่างถูกต้อง

 นำความรู้ไปพัฒนาองค์กรและหน่วยงาน

 

11. หลักสูตรเน้นอะไร

 สุขภาพจิตครอบครัว 

 ปัญหาสุขภาพจิตในเด็กและผู้ใหญ่

 การพัฒนาตนเอง 

 การป้องกันและส่งเสริมสุขภาพจิต 

 การให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิต

 

12. เรียนต่อปริญญาเอกด้านใดได้บ้าง

 สำหรับผู้ที่จบปริญญาตรีเฉพาะทาง : ต่อยอดปริญญาเอกด้านวิชาชีพเดิม

         ที่ตนเรียนตามการเปิดรับในแต่ละวิชาชีพ

 สำหรับผู้ที่จบตรีในหลักสูตรทั่วไป : ต่อยอดปริญญาเอกด้านสังคมและประชากรศาสตร์

        ด้านป้องกันและส่งเสริมสุขภาพ ด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ และ/หรือ

         สาขาอื่นๆที่เปิดรับเข้าศึกษาที่ โดยไม่ได้กำหนดวุฒิปริญญาตรี